วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

ยุทธการหักนรก / Never So Few (1958)


ยุทธการหักนรก / Never So Few (1958)
บทภาพยนตร์...Millard Kaufman / ดนตรีประกอบ..Hugo Friedhofer / ถ่ายภาพ...William H. Daniels / ลำดับภาพ...Ferris Webster / แต่งหน้า-แต่งผม...William Tuttle&Sydney Guilaroff / กำกับศิลป์...Addisin Hehr&Hans Peters / อำนวยการสร้าง...Edmund Grainger / ผู้กำกับภาพยนตร์...John Sturges
ดารานำแสดง...Frank Sinatra-Steve Mcqueen-Gina Lollobrigida-Peter Lowford-Charles Bronson-Paul Henreid
                          ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กัปตันเรโนลด์ (Frank Sinatra) กับเพื่อนๆนายทหารมีกัปตันเกรย์ เทรวิส(Peter Lowford)  บิล รินก้า(Steve Mcqueen) จ่าจอห์น แดนโฟลท์(Charles Bronson) ประจำการอยู่ที่หมู่บ้านชาวคะหยิ่นในประเทศพม่า พวกเขาสอนชาวคะหยิ่นให้รู้จักต่อสู้ป้องกันตัวเอง ว่างๆเรโนลด์ก็จะไปผูกสัมพันธ์สาวคาร่า วาสารี(Gina Lollobrigida) ทั้งๆที่เธอมีคู่หมั้นแล้ว   แต่แล้ววันหนึ่งเรโนลด์กับพวกยกพลไปโจมตีค่ายทหารญี่ปุ่นแต่พอกลับถึงฐานหมู่บ้านคะหยิ่นถูกโจมตี ชาวคะหยิ่นถูกฆ่าตายมากมาย  เรโนลด์แค้นใจนำพาทหารบุกตามไปฆ่าล้างแค้นข้าศึกจนลุกล้ำเข้าไปในเขตแดนจีนซึ่งผิดกฎหมาย เขาจึงต้องถูกส่งตัวขึ้นฟ้องในศาลทหาร

                           ภาพยนตร์แนวดรามาบวกสงครามที่ไม่เอาแต่ยิงกันอย่างเดียวเพราะภาพยนตร์ยังมีเรื่องให้ตื่นเต้นสนุกสนาน ชิงรักหักสวาท มีโศกเศร้าให้น้ำตาซึมผสมผสานกันไปอีกด้วย มีดาราที่เป็นที่รู้จักหลายท่านเช่น Frank Sinatra, Steve Mcqueen, Charles Bronson, Gina Lollobrigida นำแสดง

Frank Sinatra-Gina Lollobrigida-Steve Mcqueen-Charles Bronson

                    ในฮอลีวู๊ด อเมริกา Frank Sinatra จะโด่งดังเป็นเบอร์หนึ่งขนาดไหนก็ช่างเถอะแต่นอกฮอลีวู๊ด นอกอเมริกาในปี ค.ศ.1958 ผู้ชมภาพยนตร์เขาไม่สน Frank Sinatra กันแล้วแต่ผู้ชมเขานิยมสองพระเอกหนุ่มที่ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าอย่างเงียบๆคือ Steve Mcqueen กับ Charles Bronson แทน บางประเทศถึงกับทำโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ชื่อ Mcqueen กับ Bronson ขึ้นเป็นดารานำไปเลย




พระนางมาแอบคุยกันที่พระปรางวัดอรุณฯ

                         ภาพยนตร์เรื่องนี้มีข้อมูลระบุว่ามาถ่ายทำในสามประเทศมี พม่า ไทยและศรีลังกาแต่ก็ไม่มีสถานที่ไดที่จะระบุได้ชัดเจนว่าฉากตรงไหนเป็นประเทศพม่า ฉากไหนเป็นประเทศไทย ชมไปลุ้นไปเพราะอยากเห็นประเทศไทยมากจนสุดท้ายก็สมหวังเมื่อมาเจอหลักฐานในฉากที่พระเอกกับนางเอกเขานัดมาคุยกันบนพระปรางวัดอรุณราชวราราม ริมแม่น้ำเจ้าพระยานั่นเอง
                       ไม่มีรายชื่อทีมงานสร้างไทยไม่มีชื่อดาราไทยเพราะภาพยนตร์สมัยเก่าไม่ค่อยมีเครดิตท้ายเรื่องเมื่อกล้องที่จับภาพพระเอกนางเอกอยู่แล้วค่อยๆแพนขึ้นไปช้าๆถึงบนยอดพระปรางวัดอรุณฯ คำว่า The End ก็โผล่ขึ้นมา  ถ้าดูหนังกลางแปลง คนพากษ์ก็จะพูดว่า
                       ภาพยนตร์อวสาน  สวัสดี...


80 วันรอบโลก / Around the World in Eighty Days (1956)


80 วันรอบโลก / Around the World in Eighty Days (1956)
บทภาพยนตร์...James Poe&John Farrow / ดนตรีประกอบ...Victor Young / ถ่ายภาพ...Lionel Lindon / ลำดับภาพ...Howard Epstein&Gene Ruggiero / ออกแบบงานสร้าง...Ken Adam / กำกับศิลป์...James W. Sullivan / ออกแบบเสื้อผ้า...Mile White / แต่งผม-แต่งหน้า...Edith Keon&Gustaf Norin / อำนวยการสร้าง...Micheal Todd / ผู้กำกับภาพยนตร์...Micheal Anderson
ดารานำแสดง...David Niven-Shirley Maclaine-Cantinflas-Robert Newton-John Gielgud
                 ฟิเลียส ฟ็อกซ์ (David Niven) หนุ่มผู้ดีอังกฤษพนันกับเพื่อนในสโมสรว่าตัวเขาเองสามารถเดินทางรอบโลกได้ในเวลา 80 วัน 
Shirley Maclaine-David Niven-Cantinflas
                        ภาพยนตร์แนวผจญภัยสนุกสนานที่ได้ลุ้นตามตัวละครไปในทุกๆนาที  เท่าที่ดูเส้นทางการเดินทางของฟิเลียส ฟ็อกซ์กับปาสปาตูแล้วรู้สึกได้เลยว่าจูลย์ เวิร์นผู้ประพันธ์นิยายผจญภัยเรื่องนี้เป็นคนที่ชาตินิยมขึ้นสมอง(อย่างเราแน่เลย)เพราะทุกประเทศที่สองนายบ่าวเดินทางผ่านไปล้วนเป็นประเทศที่อยู่ในอาณานิคมของอังกฤษทั้งนั้น เหมือนเป็นการประกาศให้ทั้งโลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร UK ในอดีต
  
                 ทีมงานสร้างได้เข้ามาถ่ายทำบางฉากในประเทศไทยที่แม่น้ำเจ้าพระยาช่วงวัดอรุณฯ กรุงเทพฯซึ่งสมมุติเป็นประเทศอินเดียในช่วงที่ฟิเลียส ฟ็อกซ์กับปาสปาตูพาองค์หญิงเออูด้าหนีมาลงเรือเพื่อเดินทางไปฮ่องกงต่อ  ผู้ชมจะได้ยินเสียงเพลงเห่เรือของไทยเห็นขบวนเห่เรือพยุหยาตราขนาดย่อมๆล่องแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านไปทางวัดอรุณราชวราราม ตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
                       สวยงามมากครับ  สวยงามจนอยากขอแต่งงาน สวยจนอยากบอกว่ารัก...รักเธอประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

ช้าง / Chang: A Dreama of the Wilderness (1927)






ช้าง / Chang: A Dreama of the Wilderness (1927)
บทภาพยนตร์...Achmed Abdullah /ดนตรีประกอบ...Hogo Liesenfeld / ถ่ายภาพ...Ernest B. Schoedsack / อำนวยการสร้าง...Marian C. Cooper&Ernest B. Schoedsack / ผู้กำกับภาพยนตร์... Marian C. Cooper&Ernest B. Schoedsack
ดารานำแสดง...Kru-Chantui-Nah-Ladah-Bimbo
                  แม้จะออกตามล่าฆ่าตายไปก็หลายตัวแล้วแต่เสือก็ยังไม่หยุดอาละวาด  ครูจึงขุดหลุมวางกับดักเสือที่จะมากินวัวกินควายที่เลี้ยงไว้ผลก็คือเป็นลูกช้างที่มาติดกับดักครูจึงนำลูกช้างนั้นมาผูกไว้ใต้ถุนเรือนของตน ภายหลังแม่ช้างก็พาช้างทั้งโขลงมาทำลายบ้านของครูเพื่อชิงเอาลูกกลับคืนไป  ครูพาภรรยาคือจันตุ้ย ลูกชายลูกสาวและเจ้าลิงบิมโบหนีเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในหมู่บ้านแต่ไม่ทันการแม่ช้างขี้โมโหก็พาโขลงช้างบุกเข้าทำลายหมู่บ้านจนเสียหายไปทั่ว   ชาวบ้านจึงมาประชุมกันเพื่อหาทางที่จะควบคุมช้างให้ได้ พวกเขาจึงสร้างเพนียดคล้องช้างขึ้นมาจากนั้นก็พากันไล่ต้อนช้างเข้าเพนียดแล้วคล้องช้างเอาไปฝึกใช้งานในโอกาสต่อมา  

ครอบครัวของนายครู กับ สองผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ช้าง
                  ช้าง หรือ Chang: A Drama of the Wilderness เป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดี เรื่องแรกๆที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย(สยาม) โดยบริษัท พาราเมาท์ เมื่อ พ.ศ. 2468 ใช้เวลาถ่ายทำนานถึงหนึ่งปีครึ่ง ที่จังหวัดน่าน แพร่ พัทลุง สงขลา ตรัง สุราษฎร์ธานี ชุมพร สิ้นเงินประมาณ 2 แสนบาทไทยขณะนั้นโดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอนุสรมงคลการพระบิดาของมจ.ชาตรีเฉลิม ยุคลร่วมงานสร้าง
                  ภาพยนตร์เรื่องช้าง เป็นภาพยนตร์ขาว-ดำและเป็นภาพยนตร์เงียบ(ใบ้) มีคำบรรยายคั่นเป็นช่วงๆ ถ่ายทำแล้วเสร็จออกฉายเมื่อพ.ศ. 2470 ที่สหรัฐอเมริกาก็ได้รับความสนใจเป็นอันมากได้รับการเสนอชื่อเข้าประกวดรางวัลออสการ์ครั้งที่ 1 ประจำปีค.ศ. 1927 ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม  แต่ในประเทศสยามตอนที่ภาพยนตร์เรื่องช้างออกฉายนั้นคนสยามได้สร้างหนังเพื่อความบันเทิงได้เองและนำออกฉายดูกันไปแล้วหลายเรื่องผู้คนจึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับภาพยนตร์เรื่องช้างกันมากเท่าที่ควร   หลายสิบปีผ่านมามีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณบรู๊ซ แก๊สตันไปซื้อลิขสิทธิ์มาแล้วทำดนตรีประกอบใหม่เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงคอนเสิร์ตของวงดนตรี ฟองน้ำ

                   ภาพยนตร์เรื่องช้าง เปิดมุมมองให้เห็นความพยายามเอาชนะพลังธรรมชาติของมนุษย์ เป็นวัฒนธรรมทางตะวันตกที่มีค่านิยมที่จะสะสม ครอบครองสิ่งต่างๆเอาไว้ให้ได้แม้ว่าก่อนจะได้มาครอบครองพวกเขาต้องทำลายธรรมชาติไปมากมายเท่าไรก็ตาม  การแสดงของสัตว์ต่างๆในภาพยนตร์เรื่องช้างนี้เป็นการแสดงที่ออกมาเองตามสัญชาตญาณของสัตว์ไม่มีใครไปอบรมสั่งสอนเอาไว้

โขลงช้างหลายร้อยเชือกบุกเข้าทำลายหมู่บ้าน
                    ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งชื่อว่า Chang ทับศัพท์ภาษาไทยแทนที่จะใช้คำว่า Elephant ที่แปลว่าช้างอาจเป็นเพราะว่ามาถ่ายทำในประเทศไทย(สยาม) ประเทศที่มีภาษาเป็นของตัวเองจึงอยากนำเสนอคำแปลกๆเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนสนใจอยากชมภาพยนตร์มากกว่าการให้เกียรติทางวัฒนธรรมเพราะในสมัยนั้นใครจะคิดถึง  สำหรับผู้กำกับภาพยนตร์แมเรียน ซี. คูเปอร์และช่างภาพ เออร์เนสต์ บี. สโคแซคต่อมาได้ร่วมงานกันอีกในการสร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกคือเรื่อง คิงคอง (1933)
                   เมื่อพูดถึงช้างก็อดเป็นห่วงช้างไทยของเราไม่ได้ ในปัจจุบัน(พ.ศ.2553)สัตว์ใหญ่คู่บ้านคู่เมืองของไทยเราชนิดนี้ล้มลงกว่า 150 เชือกต่อปี  เห็นได้ชัดว่าอีกไม่นานช้างไทยจะต้องสูญพันธ์ลงอย่างแน่นอน  ขอวอนคนไทยเราอย่านิ่งดูดายกันอยู่เลย ใครหรือหน่วยงานใดมีโครงการณ์อะไรดีดีที่จะช่วยให้ช้างไทยยังคงอยู่รอดได้ก็ให้รีบดำเนินการกันเสีย ก่อนจะเลยห้าโมงเช้า สายเกินไป
                  เมื่อช้างไทยตัวเป็นๆสูญพันธ์หมดไปแล้ว คนไทยจะมีอะไรเหลือไว้ให้เด็กรุ่นหลังภูมิใจในความเป็นไทย เหลือแต่เบียร์ช้างไว้ให้เด็กดู เด็กคงมีอาการ...งึกงึกงักงักมันเป็นงึกงึกงักงัก มันเป็นบ่คึกบ่คัก...จังซี่มันต้องถอน จังซี่มันต้องถอน...หัวทิ่มบ่อไปตามตามกัน