วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องราวของเนศ / The Story of Net (2010)-v


เรื่องราวของเนศ / The Story of Net (2010)-v
บทภาพยนตร์...Lasse Nielsen& Bancha Khemngeun/ดนตรีประกอบ...Matz Muller/ถ่ายภาพ...Lasse Nielsen/ลำดับภาพ...Georg P. Muller/ผู้อำนวยการสร้าง...Gerald Herman/ผู้กำกับภาพยนตร์... Lasse Nielsen& Bancha Khemngeun
ดารานำแสดง...Thanet Putthasorn- Bancha Khemngeun

            หลังจากแม่ตาย  เนศ เด็กชายวัย 12 ปี หูตึง พูดไม่ได้แต่อ่านปากคนเก่ง  ถูกส่งไปอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยง  ซึ่งพ่อก็ไม่ยินดียินร้ายและไม่เคยสนใจว่าเนศเป็นลูก  มีแต่ปู่เท่านั้นที่สงสารและเอ็นดู  กับเพื่อนผู้หญิงลูกสาวแม่ค้าขายของชำ  กับเด็กวันรุ่นที่โตกว่าและเกเร ประพฤติตัวไม่ดีจนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายบ่อยครั้ง แต่ก็เป็นเพื่อนคนเดียวที่เนศมีอยู่และเข้าใจจิตใจเขาดีกว่าคนอื่น  ต่อมาผู้เป็นพ่อเริ่มหันมาใส่ใจและเริ่มสร้างความรักความผูกพันขึ้นทีละน้อยๆ  แล้ววันที่เนศรอคอยก็มาถึงจนได้  วันที่เขามีพ่อที่แท้จริง


           เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ เลสซี่ นีลเส่น ที่มีผู้อำนวยการสร้างอย่าง เจอรัล เฮอร์แมน นำเงินก้อนเล็กๆมามอบให้บริษัทลิฟวิ่งฟีล์ม สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์อินดี้ฯ ออกแนวดราม่า นำเสนอเรื่องราวของเด็กน้อย 12 ปีที่สีหน้าบ่งบอกอาการไร้ความรู้สึกมากๆ  เรื่องทั้งเรื่องมีรอยยิ้มให้เห็น 2-3 แว่บเท่านั้น  ที่ต้องมาอยู่กับพ่อที่ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นลูกอะไรเลย  แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันแม้ความสัมพันธ์จะไม่ราบรื่นนักแต่เรื่องราวของสายเลือดที่มี ดีเอ็นเอ เข้ากันได้แบบนี้ สุดท้ายและไม่นานพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงมารักกัน ผูกพันกัน เป็นครอบครัวเดียวกันได้แน่นอน

Thanet Putthasorn

          ด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์จากผู้สร้างอิสระ ฟอร์มธรรมดาๆ การเดินเรื่องจึงดูอีดๆ  บทเจรจาน้อยๆ ยิ่งนำดาราโนเนม แกะกล่องซิงๆมาแสดง พูดเหมือนท่อง  การแสดงอารมณ์ได้บ้างไม่ได้บ้าง  เป็นอย่างนี้แน่นอน  แต่ว่าไปแล้วถ้ามองเป็นบวก มันเป็นเสน่ห์ของภาพยนตร์ที่สร้างส่งประกวดแบบนี้  เป็นเหมือนอาจาดที่เรากินแก้เลี่ยนหลังจากกินหมูสะเต๊ะไปแล้ว 10 ไม้ใหญ่ๆ   ดูภาพยนตร์แนวตลาดๆ ฟอร์มยักษ์ สปีเชียลเอ็ฟเฟ็กซ์ร้อยล้านมามากแล้ว  หันมาดูหนังที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยแบบเรื่องนี้สักเรื่อง  คุณอาจจะชอบมากกว่าก็ได้


โลเกชั่น-ประเทศไทย

 ด.ช.ธเนศ พุทธาสอน


เนศ กับปู่ พ่อ และเพื่อนๆ

         ปัจจุบันในทุกๆวงการ ทั่วโลก  นอกจากจะคิดค้นในสิ่งใหม่ๆมานำเสนอ(ขาย)  แต่ยังมีคนบางกลุ่มที่หันกลับไปมองอดีตแล้วหยิบยกเอาสิ่งที่ดี มีคุณค่า นำกับมานำเสนอ(หรือพรีเซ็นต์)ใหม่  วงการภาพยนตร์ก็เช่นกันไม่ว่าคุณจะพัฒนาเอฟเฟ็คล้ำเลิศขนาดไหน แต่ดูยังไงภาพที่ปรากฏก็ยังไร้วิญญาณ  ยังรู้สึกเหมือนดูการ์ตูน  ผู้สร้างที่เรียกตัวเองว่า อิสระ จึงหันไปสร้างภาพยนตร์ที่เขียนบทง่ายๆ  บทน้อยๆ ตัวละครเป็นชาวบ้านธรรมดา แสดงไม่เป็น เหมือนภาพยนตร์ยุคบุกเบิกแบบเรื่องนี้และอีกหลายๆเรื่อง แต่เพียงแต่นำอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาใช้ในการสร้างเท่านั้น   ภาพยนตร์ของพวกเขาจะได้รับคำชมตรึม...นี่แหละสูงสุดคืนสู่สามัญ..ล่ะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น